วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตำนาน, ประวัติเมืองอุบลราชธานี4

เจ้าพระวอ สายเมืองอุบลราชธานี การแต่งตั้งให้ศัตรูมาปกครองเมืองอุบลราชธานีครั้งนี้ จึงทำให้เกิดการขัดแย้งกันขึ้นระหว่างเจ้าผู้ครองเมืองสายเวียงจันทน์ กับฝ่ายอุปราชซึ่งเป็นฝ่ายเจ้าพระตา สายเมืองอุบล เริ่มแต่เรื่องมอไซแง ชาวฝรั่งเศสถูกคนในบ้านเจ้าราชบุตรชกต่อยจนถึงเรื่องหาว่าเจ้าเมืองโกงเอา พระราชทรัพย์เป็นของตน จนต้องลงไปสู้ความกันที่กรุงเทพ และถึงแก่กรรมไปตามๆ กัน คดีความจึงเลิกไป ขณะนั้นมีแต่เจ้าราชบุตรหนูคำรักษาราชการ ในสมัยของพระ พรหมเทวานุเคราะห์วงศ์นี้ ได้ขอตั้งเมืองที่สำคัญ คือ เมืองตระการพืชผล ให้ท้าวสุริยวงศ์(อ้ม) เป็นเจ้าเมือง ที่ “พระอมรดลใจ” เมืองพิบูลมังสาหาร ให้ท้าวจูมณี เป็นเจ้าเมือง ที่ “พระบำรุงราษฎร” เมืองมหาชนะชัย ให้ท้าวคำพูล เป็นเจ้าเมือง ที่ “พระเรืองชัยชำนะ” รัชกาลที่ ๕ อุบลราชธานี ได้รับการยกฐานะเป็น “มณฑลลาวกาว” ศูนย์กลางการปกครอง ศาสนา การศึกษา เป็นจุดกำเนิดกลุ่ม “กบฏผีบุญ” ก่อนแพร่ขยายไปทั่วภาคอีสาน เป็นที่ตั้งสถานกงสุลฝรั่งเศสช่วงยึดครองอินโดจีน มีการก่อตั้งโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม โรงเรียนสอนภาษาไทย โรงเรียนแผนที่ โรงเรียนฝึกหัดทหาร และกองตำรวจภูธรขึ้นเป็นครั้งแรกในภาคอีสาน ในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ โปรดเกล้าฯให้มีข้าหลวงกำกับราชการแผ่นดินมาประจำหัวเมืองลาวตะวันออกเป็น ครั้งแรก ให้พระยามหาอำมาตยาธิบดีขึ้นมาเป็นข้าหลวงกำกับราชการ ให้ไปอยู่เมืองนครจำปาศักดิ์ ให้หลวงจินดารักษ์มาเป็นข้าหลวงกำกับราชการช่วยเจ้าอุปราชหนูคำที่เมือง อุบลราชธานี หลวงจินดารักษ์ จึงเป็นข้าหลวงกำกับราชการคนแรกในเมืองอุบลราชธานี ท่านผู้นี้ได้ภรรยาเป็นชาวเมืองอุบลราชธานี มีบุตรชายด้วยกันคนหนึ่งเรียกว่า จอมใจราช เมื่อหลวงจินดารักษ์ถึงแก่กรรมจึงโปรดเกล้าฯให้ หลวงภักดีณรงค์ (ทัด ไกรฤกษ์) ขึ้นมาเป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองอุบลราชธานี ในปี พ.ศ. ๒๔๒๕ เมื่อเจ้าราชบุตรหนูคำ ถึงแก่กรรมไปแล้วก็มิได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดให้เจ้าเมืองอุบลราชธานีอีก เพราะทรงมีนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองหัวเมืองลาวให้เข้าสู่ระบบมณฑล เทศาภิบาล หลวงภักดีณรงค์มาเป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองอุบลราชธานีอยู่หลายปี จนได้เลื่อนยศเป็นพระยาศรีสิงห์เทพ และต่อจากนั้นมาก็มีผู้กำกับราชการแผ่นดินหัวเมืองลาวมาอีกหลายคน พ.ศ. ๒๔๓๔ได้มีการแบ่งการปกครองหัวเมืองอีสาน ออกเป็น ๔กลุ่ม แต่ละกลุ่มให้มีข้าหลวงต่างพระองค์จากพระราชสำนักมาปกครอง ดังนี้ กลุ่มที่ ๑ หัวเมือง มณฑลลาวกาว มีเมืองอุบลราชธานีเป็นเมืองเอก ให้กรมหมื่นพิชิตปรีชากรเสด็จขึ้นมาเป็นข้าหลวงสำเร็จราชการต่างพระองค์ กลุ่มที่ ๒ หัวเมือง มณฑลลาวพวน มีเมืองหนองคายเป็นเมืองเอกให้กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคมเสด็จขึ้นมาเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ กลุ่มที่ ๓ หัวเมือง มณฑลลาวพุงขาว มีเมืองหลวงพระบางราชธานีเป็นเมืองเอก ให้กรมหมื่นสรรพสิทธิ์ประสงค์ เสด็จขึ้นไปเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ แต่ยังไม่ได้เดินทางก็เปลี่ยนแปลงใหม่ กลุ่มที่ ๔ หัวเมือง มณฑลลาวกลาง มีเมืองนครราชสีมาเป็นเมืองเอก ให้พระพิเรนทรเทพ ขึ้นมาเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ พ.ศ. ๒๔๓๕ (ร.ศ. ๑๑๒) เกิดกรณีวิกฤตการณ์ฝรั่งเศสสยาม เกิดรบกันตามชายแดนไทยกับ ฝรั่งเศส อินโดจีน ญวน ในที่สุดไทยต้องเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส ตามสัญญาสงบศึกเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๕ ทรงโปรดเกล้าฯให้กรมหมื่นพิชิตปรีชากรเสด็จกลับคืนกรุงเทพมหานคร และโปรดเกล้าฯให้กรมหมื่นสรรพสิทธิ์ประสงค์ เสด็จขึ้นมาเป็นข้าหลวงกำกับราชการต่างพระองค์ที่เมืองอุบลราชธานี ได้มีการเปลี่ยนชื่อหัวเมืองมณฑลลาวทั้ง ๔ นั้นเสียใหม่ โดยให้เรียกชื่อ มณฑลลาวกาว เป็นมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ มณฑลลาวพวน เป็นมณฑลอุดร มณฑลลาวกลาง เป็นมณฑลนครราชสีมา พ.ศ. ๒๔๔๓ เกิดกบฏผีบาปผีบุญในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีผู้อ้างตนเป็นผู้มีบุญจะมาปราบยุคเข็ญ เมื่อมีผู้หลงเชื่อเข้าเป็นสมัครพรรคพวกมากก็กำเริบจะยกมาตีเมือง อุบลราชธานี กรมหลวงสรรพสิทธิ์ประสงค์จึงให้ปราบปรามและจับได้พรรคพวกของผีบุญผีบาปมาลง โทษ ตามพระราชกำหนดกฎหมาย บ้านเมืองจึงสงบเรียบร้อย พ.ศ. ๒๔๔๗ไทยต้องยกดินแดนอันเป็นเมืองนครจำปาศักดิ์ให้แก่ฝรั่งเศส นครจำปาศักดิ์จึงตกไปอยู่ในปกครองของฝรั่งเศสตั้งแต่นั้นมา เสด็จในกรมหลวงสรรพสิทธิ์ประสงค์ ได้ทรงแต่งตั้งเชื้อสายเจ้านายเก่า เมืองอุบลราชธานีให้เข้ารับราชการแผ่นดิน ดังนี้ ท้าวโพธิสารเจ้าเสือ เป็นพระอุบลเดชประชารักษ์ ต้นตระกูล ณ อุบล ท้าวไชยกุมาร (ท้าวกุคำ) เป็นพระอุบลศักดิ์ประชาบาล ต้นตระกูล สุวรรณกูฏ ท้าวสิทธิสาร (ท้าวบุญชู) เป็นพระอุบลการประชานิตย์ ต้นตระกูล พรหมวงศานนท์ ท้าวบุญเพ็ง เป็น พระอุบลกิจประชากร ต้นตระกูล บุตโรบล นอกจากนี้ยัง ได้ตั้งท่านผู้มีเชื้อสายเจ้านายเก่าเมืองอุบลราชธานีให้เป็นขุนนางรับ ราชการอีกหลายท่าน และท่านเหล่านั้นก็ได้รับราชการด้วยความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เจ้าและ แผ่นดินสืบลูกหลานมาได้เปลี่ยนชื่อมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ เป็น มณฑลอีสาน กรมหลวงสรรพสิทธิ์ประสงค์ ประทับเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ที่เมืองอุบลราชธานีเป็นเวลานานถึง ๑๗ ปี ได้ชาวเมืองอุบลราชธานีเป็นชายา คือ หม่อมเจียงคำ หม่อมบุญยืน หม่อมปุก หม่อมเมียง หม่อมหอม มีพระโอรสธิดาด้วยกันหลายท่าน เสด็จในกรมหลวงสรรพสิทธิ์ประสงค์ เสด็จกลับกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๓ ก่อนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จสวรรคตเพียง ๕ เดือนเท่านั้น และพระองค์ท่านสิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๕ หม่อมอมรวงศ์วิจิตรเป็นข้าหลวงกำกับราชการแทน ท่านผู้นี้อยู่ได้หนึ่งปีก็สิ้นชีพเพราะเป็นไข้มาลาเรีย เนื่องจากตรากตรำไปแบ่งแยกดินแดน เขตเมืองนครจำปาศักดิ์ให้แก่ฝรั่งเศส รัชกาลที่ ๖ มณฑล อุบลราชธานี ยุบรวมเข้ากับมณฑลอุดรและมณฑลร้อยเอ็ด เป็น “ภาคอีสาน” ในปี พ.ศ.๒๔๕๕ เริ่มสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ ถึงอุบลราชธานี สร้างเส้นทางยุทธศาสตร์สาย ๑๕ (พิบูลมังสาหาร-ช่องเม็ก) ทางหลวงสายแรกในประเทศไทย รัชกาลที่ ๗ พ.ศ. ๒๔๕๕ ให้แยกมณฑลอีสาน ออกเป็นสองมณฑลคือ มณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด ให้พระยาวิเศษสิงห์นาท (ปิ๋ว บุญนาค) มาเป็นเทศาภิบาลมณฑลอุบลราชธานี และต่อมาเลื่อนเป็น พระยาศรีธรรมศกราช พ.ศ.๒๔๕๕ ให้ยุบมณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด ให้ตั้งเป็นภาคอีสาน มีสำนักงานภาคอยู่ที่มณฑลอุดรธานี และต่อมาให้ยุบภาคอีสานกลับมาเป็นมณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ดตามเดิม ก่อนหน้านี้คือ พ.ศ. ๒๔๕๙ ให้เปลี่ยนชื่อคำว่าเมือง เป็น จังหวัด ทุกหัวเมืองทั่วราชอาณาจักร และให้ยุบมณฑลอุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ดดังกล่าวแล้วให้โอนไปอยู่ในมณฑลอื่นคือ มณฑลอุบลราชธานีให้ไปรวมอยู่ในมณฑลนครราชสีมา มณฑลร้อยเอ็ดให้ไปขึ้นอยู่กับมณฑลอุดร เมืองอุบลราชธานีจึงเป็น จังหวัดอุบลราชธานี มาแต่บัดนั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นแบบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย ชาวเมืองอุบลต่างตกใจ ต่างเศร้าโศกเสียใจเป็นห่วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชีนีของตน ต่างภาวนาให้พระองค์ปลอดภัยจากศัตรู พ.ศ. ๒๔๗๗ มีพระเจ้าแผ่นดินพระองค์น้อย ชาวเมืองอุบลราชธานีต่างมีความชื่นชมเรียกขานว่า “พระเจ้าแผ่นดินน้อย” ต่างหาพระบรมรูปไว้กราบไหว้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ไทยเรียกร้องเอาดินแดนคืนจากฝรั่งเศส อินโดจีน เกิดรบกันขึ้นระหว่างไทยกับอินโดจีน ของฝรั่งเศส ไทยได้รับดินแดนที่เป็นฝั่งขวาแม่น้ำโขงตรงกันข้ามนครหลวงพระบางกลับคืน แต่ไม่นานไทยก็ต้องคืนให้แก่ฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๔๘๕ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๗ เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือ สงครามมหาสงครามครั้งที่ ๒ ไทยเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่น เมื่อแพ้สงครามจึงต้องคืนดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสดังกล่าวแล้ว อุบลราชธานี ศรีวนาไลย ธานีแห่งราชะที่สง่างามท่ามกลางไพรพฤกษ์ ได้สะสมอารยธรรมยุคต่างๆ เอาไว้ ภายใต้สายน้ำแม่มูลที่เป็นเสมือนสายเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนที่เกิดบนแผ่น ดินแห่งนี้ ก่อให้เกิดนักปราชญ์ของแผ่นดิน ผู้รังสรรค์ศิลปวัฒนธรรม โบราณสถาน โบราณวัตถุ อันเป็นมรดกวัฒนธรรมอันล้ำค่ามากมาย จนได้ชื่อว่าเป็น “ราชธานีแห่งอีสาน”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น