วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

พบพญานาคที่เขมราฐ



พระยานาค (พญานาค) มีอยู่จริง เล่าประสบการณ์โดย ยรรยง สินธุ์งาม
ย้อนรอย ถ้ำพญานาค ริมฝั่งโขง
พญานาค เป็นราชาแห่งงู จัดเป็นเดรัจฉานด้วย เพราะมีลำตัวไปทางขวางและไม่สามารถบรรลุธรรม
ได้ แต่ก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พญานาคเลื้อยไปด้วยอกไม่เหมือนงูทั่วไป
จะชูคอตลอด ต้องอ้าปากตลอดเพราะร้อนจากภายในด้วยวิบากกรรม มีพิษที่ เขี้ยว ผิวกาย ลมหายใจ และพิษที่ตา แปลงร่างได้ แต่ต้องกลับคืนเป็นพญานาคเมื่อ เกิด ลอกคราบ เสพสังวาสกันนาคด้วยกัน นอนหลับ ตายเกิดเป็นพญานาค เพราะ
1.ทำบุญ แต่ยังยึดติดในราคะ สุรา นารี กาเม นาคเกย์ นาคบัณเฑาะก็มี
2.ทำบุญแล้วยึดติดอยากจะไปเกิดเป็นพญานาค จึงอธิษฐาน
พญานาคจะมีดวงแก้วคู่บารมีซึ่งอยู่ที่คอ จะบังเกิดด้วยบุญของตนสามารถเนรมิต
อาหารทิพย์ ของทิพย์ต่าง ๆ ได้
พญานาคมีตั้งแต่สวรรค์ชั้น จตุมหาราชิกา จนถึงพื้นมนุษย์เลยครับ แล้วก็มีอยู่ ทั่วโลก เคยมีคนเป็น พญานาคตระกูลกัณหาโคตมะ(ผิวสีดำ)ที่ตอนเหนือของประเทศนอร์เวย์ แม่น้ำสายหนึ่งของเมือง
 เซลยู (Seljord)ด้วยนะครับ ชาวเมืองแถวนั้นก็เคยเห็นกัน แต่พญานาคใต้บาดาลแถบนั้น มีจำนวนไม่มากนัก คือ น้อยกว่าแม่น้ำโขง , มีอายุไม่ยืน เท่าที่แม่น้ำโขงด้วยแค่ 200 กว่าปีเอง (อายุของนาคแต่ละประเภทไม่เท่ากัน) ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะหรือมีจิตผูกพันธ์กับแม่น้ำและพญานาค หรืออธิฐานจิตขอเกิดเป็นพญานาค
(ถึงแม้ทำบุญมามากแค่ไหนพอที่จะไปเกิดสวรรค์ชั้นสูง ๆ กว่านี้ได้ แต่ถ้ามีจิตผูกพันธ์ ยึดติดกับอะไรตายไปก็จะไปตรงนั้น)ดังนั้นควรยึดถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุดเพราะเป็นสรณะอันประเสริฐที่สุดเพียงหนึ่งเดียวเมื่อประมาณ กลางปี2535 ผมชวนน้องชาย ไปสำรวจถ้ำ ตามตำนาน ริมแม่น้ำโขงแถบอำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี
ลำธารนี้ จะไหลลงสู่ลำห้วย ลำห้วย จะไหลลงสู่แม่น้ำโขง

ปากถ้ำพญานาค จะสังเกตเห็น ธารน้ำ เล็กๆ ไหลลงสู่ลำห้วย

ปากถ้ำพญานาค จะสังเกตเห็น ธารน้ำ เล็กๆ ไหลลงสู่ลำห้วย

ผมเข้าไปในถ้ำ แล้วถ่ายภาพออกมา จะมองเห็น ผู้ที่อยู่ภายนอก
ผมก็ไม่รู้ว่าแอ่งน้ำ จะมีความลึกเท่าไร เราหยุดเดิน เพราะถ้ำตันซะแล้ว ขณะที่สายตา
สำรวจก้อนหินตามผนังถ้ำ ก็ปรากฏ งูสีเขียว โผล่หัวขึ้นมาดูพวกเรา ขนาดเท่าหลอดยาดม 
ที่วางขายตามท้องตลาด เขาโผล่พ้นน้ำขึ้นมาประมาณ สิบ เซนติเมตร ทำให้ผมชะงัก เพราะกำลังจะลงไปในแอ่งน้ำ ผมเอามือวิดน้ำใส่ งู ตัวนั้น 2 -3 ที งูก็ดำน้ำหายไป และไปโผล่มองดูเรา อีกด้านหนึ่งของขอบแอ่งน้ำ ผมก็ เอามือ วิดน้ำใส่อีก งู ก็ดำน้ำและก็หายไป ในความคิดของผม ตั้งแต่ที่เห็นแอ่งน้ำ ก็จะรู้ทันที ว่าใต้แอ่งน้ำนี้ จะต้องมีช่องทาง เพื่อไปอีกสถานที่หนึ่ง พอผมลงไปในแอ่งน้ำ ความลึกอยู่ระดับเอว เมื่อเอามือลูบผนังถ้ำลงไป ในน้ำ จะพบรูขนาดที่คนตัวใหญ่ๆ มุดเข้าไปได้ ผมลองมุดเข้าไปดู ซักครู่ ก็โผล่ขึ้นมา พร้อมบอก ให้น้องชายส่งเชือกมา ผมมัดที่ข้อเท้าขวา ก่อนที่จะดำน้ำหายเข้าไปใน รูใต้น้ำ อีกครั้ง ความกดดัน ที่มากขึ้นทำให้น้ำทะลักเข้าหู ผมทั้งสองข้างผมดำน้ำเข้าไปได้ระยะทางประมาณ 6 ถึง 7 เมตร ยังไม่เ ห็นว่าจะทะลุตรง ไหน ใจก็คิดว่า เราจะไม่เหลืออากาศ พอที่จะ ดำน้ำกลับนะ ครั้งนี้ พอแค่นี้ก่อนเถอะ ก็เลยหมุนตัว ในช่องหิน กลับหัว แล้วว่ายออกมา เมื่อโผล่ขึ้นจากผิวน้ำ ก็พบน้องชายนั่งทำหน้าตกใจอยู่ เขาบอกว่า กลัวมาก ที่ต้องนั่งอยู่คนเดียว เราเดินทางโดยปราศจากอาวุธใดๆทั้งสิ้น พกพาไปเฉพาะเครื่องนอนและอาหารแห้ง ข้าวจี่ น้ำดื่ม กล้องก็ยังไม่มี
หมายเลข 1.เป็นลำธารภายในถ้ำ ที่ไหลลงสู่ลำห้วย ซึ่งมีน้ำ ตลอดทั้งปี
หมายเลข 2.แอ่งน้ำรูปครึ่งวงกลม ที่ผมเคยลงไป และ มุดผ่านช่องทางใต้น้ำเข้าไป 
ร่วม 7 เมตร
หมายเลข 3.เป็นผนังถ้ำ เรียบเหมือนถูกตัด ที่ปิดกั้นทำให้มองดูเป็นทางตัน แล้วใช้แอ่งน้ำ อำพรางทางเข้า ซึ่งอยู่ใต้น้ำเอาไว้ ดูๆไปเหมือนในหนังผจญภัยของฮอลลีวู๊ด แต่ที่นี่ คือ
 เรื่องจริง และอยู่ ขอบชายแดน ริมแม่น้ำโขง คนไทย คนไหนจะมาสร้างไว้ และที่น่าสนใจ
ก็คือ เขาจะปิดบังทางเข้าเพื่อซุกซ่อนอะไร
หมายเลข 4. คือ จุดแรกที่ พญานาค ตัวเล็ก โผล่ขึ้นมามองดูเรา และผมก็วิดน้ำใส่
หมายเลข 5.คือ จุดที่สอง ที่ พญานาค ดำน้ำจากจุดแรก ไปโผล่หัว มองดูเราอีกครั้ง ซึ่งผมก็ วิดน้ำใส่อีกครั้ง


ภาพวาด พญานาค พบที่แอ่งน้ำในถ้ำ ริมแม่น้ำโขง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อ กลางปี 2535ลักษณะที่เกล็ดส่วนลำตัวสะท้อนแสงระยิบระยับ น่าจะเกิดจากการลักษณะการเรียงตัวของเกล็ดไม่เป็นระเบียบ คล้ายๆกับการเจียรไน เหลี่ยมมุมของเพชร และ ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากโครงสร้างของธาตุ ที่เป็นองค์ประกอบของเกล็ดแม้จะสังเกตพบว่า งู ที่พบในถ้ำ ต่างจากงูโดยทั่วไป ผมเองก็ไม่ได้พูดให้น้องชายที่ไปด้วยฟัง เพราะเกรงว่า เขาจะกลัว จนเกินกว่าเหตุ เมื่อบอกว่า นั่นคือ ร่างกายหยาบ ขอพญานาค
วันนี้ อังคาร ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 นั่งวาดภาพแผนผังถ้ำพญานาค เสร็จ ก็มานำเสนอในช่วงห้าทุ่มเศษ เป็นภาคต่อจาก การผจญภัยอีกครั้ง เมื่อ 2551 


สถานที่ตั้งของถ้ำพญานาคแห่งนี้ อยู่ใต้ภูเขาหิน ติดต่อกับลำห้วย ซึ่งลำห้วยจะเชื่อมต่อลงแม่น้ำโขงได้ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เหมือนกับถ้ำตามธรรมชาติโดยทั่วไป



ที่เห็นเป็นภาพตัด ของถ้ำ ที่อยู่สูงจากลำห้วยเล็กน้อย เป็นช่องทางที่ ผู้มีรูปร่างคน เดินเข้า ออก ขอเรียกว่า ช่องทางที่ 1 ถ้ำ เมื่อเข้าไป สิบกว่าเมตร ก็จะเห็นผนังถ้ำตัน และ มีแอ่งน้ำรูปครึ่งวงกลมปิดกั้นทางเข้าเอาไว้ใต้น้ำ ซึ่งผมเอง เข้าไปถึงแอ่งน้ำ รวมทั้ง ดำน้ำเข้าไปตามรูช่องหิน 6 -7 เมตร แต่ยังไม่ ทะลุ กลับออกมาก่อน

หลังจากที่ออกจากถ้ำขึ้นมาเดินสำรวจบริเวณยอดภูเขาด้านบน จะพบ ช่องทางที่ 2 ขอเรียกว่า รู เพราะเป็นช่อง ขนาดเล็ก พอดีตัวคนลอดลงไปได้แบบเบียดๆ ทีละ 1 คน ดังภาพ

มองลงไปจะเห็นน้ำ ผมมุดลงรู ไปข้างล่าง ก็จะพบการซ่อนทางเข้า เหมือนในถ้ำ ถ้าเราดำน้ำลงไปจะพบทางเข้าออกอยู่ใต้น้ำ ซึ่ง รู บนยอดเขา พบ 2 รู คาดคะเนว่า น่าจะเป็นช่องทาง สำหรับผู้ที่เลื้อยคลาน หรือจะว่าไปก็คือ เหมาะเป็นทางเข้าออกในขณะ ที่มีรูปกายเป็น งู

ส่วนช่องทางเข้า ช่องทางที่ 3 เป็นช่องทางใต้น้ำ จะอยู่ใต้ลำห้วย ซึ่งช่องทางนี้ผมไม่ได้เข้าไปสัมผัสด้วยตนเอง ชาวบ้านอ้างจากคำบอกเล่าของ นักประดาน้ำ ของทางราชการ ที่เคยมากู้ภัย ช่วยชาวบ้านที่ติดอยู่ในถ้ำ เมื่อประมาณ ปี 2549 (ดูเพิ่มเติม http://www.vcharkarn.com/vblog/89133)


ช่องทางนี้ลำน้ำจะเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขง ซึ่งอยู่ห่างกันไม่ถึง 20 เมตร สะดวกในการอำพราง จากสายตา ของผู้ที่อยู่บนผิวน้ำ ดังแสดงในภาพข้างล่าง

ข้างบนเป็นแผนภาพ ตัดขวาง โดยรวม ของถ้ำพญานาค ที่ผมเขียนขึ้นมา จากข้อมูลที่ตนเองได้เข้าไปสัมผัส แม้ว่า ในส่วนที่ 3 ช่องทางใต้น้ำ และ ส่วนที่ 4 ห้องโถงใหญ่ จะไม่ได้สัมผัสโดยตรง แต่ก็เป็นข้อมูลเชิงลึก ที่มีความน่าเชื่อมากที่สุด

จากแผนภาพดังกล่าว ผมจึงมั่นใจว่า นี่ เป็น ถ้ำพญานาค แห่งหนึ่งที่ปรากฎ บนมิติโลก ที่เราเข้าไปจับต้อง สัมผัส ถ่ายภาพ มาได้ แต่ก็คงเป็นขอบเขตที่มีข้อจำกัด เนื่องจาก มนุษย์ เป็นสัตว์ที่มีกายหยาบ แปลงกายไม่ได้ เหมือน ชาวนาคา เค๊า การที่จะตามเขาไปถึง เมืองบาดาล คงต้อง ถอดวิญญาณ ครับ การถอดวิญญาณ มีหลายวิธี

1.ทำสมาธิ จนมีความละเอียดถึงระดับแยกวิญญาณ จาก กายหยาบ เราก็ไปได้ โดยที่ กายเนื้อ หรือ กายหยาบของเรา แน่นิ่งอยู่ในถ้ำ
2.ทำให้ตัวเองหลับ ครับ จิต หรือ วิญญาณของเรา ก็จะออกไปได้ เป็นการนอนให้หลับสนิท คล้ายกับฝัน แต่ไม่ใช่ฝัน เพราะถ้าฝัน วิญญาณของเรา จะยังอยู่ใน กายเนื้ออยู่ แต่นี่ วิญญาณ ต้องออกจากร่าง ซึ่ง ขั้นตอนนี้ ต้องมี พญานาค หรือ ผู้มีกายทิพย์ อยู่แล้ว เป็นผู้โน้มนำ เพื่อให้วิญญาณ คลายพลังที่ยึดเหนี่ยว ร่างกายเนื้อ ออกให้มากที่สุด ให้คงเหลือไว้แต่ สายสัมพันธ์ ถ้าสายสัมพันธ์นี้ขาด วิญญาณก็เข้าร่างไม่ได้ ซึ่งเราจะพบปรากฎการณ์ นี้ในชีวิตจริง คือ โรคไหลตาย ถ้าใครจะใช้วิธีนี้ ต้องมี นาฬิกาปลุก ถ้าไม่มี นาฬิกา ก็ต้องมีคนคอยปลุก ครับ
3.ดมยาสลบ ครับ ตั้งเวลาแบบวิสัญญีแพทย์(หมอผู้มีหน้าที่วางยาสลบ ให้กับคนไข้) จะกลับมาเมื่อไหร่ 5 ชั่วโมง รึ 8 ชั่วโมง ต้องไปขออุปกรณ์การแพทย์ จากท่านวิสัญญีแพทย์ ครับ

วิธีที่ 2 และ 3 ผมวิเคราะห์ขึ้นมา จากหลักธรรมชาติของ จิต ครับผม อีกวิธีหนึ่ง คือ ตาย ผมไม่ขอแนะนำให้ใช้ เพราะ เมื่อท่านทำให้ ร่างกายตนเองถึงแก่ความตาย วิญญาณ ออกจากร่าง ก็จริง แต่จะเป็น วิญญาณโดยสมบูรณ์หมายถึง เป็นผู้มีกายละเอียด ที่ไม่ได้อยู่ในร่างกายหยาบ ฑูติจากโลกวิญญาณ ก็จะเข้ามาทักทายท่าน ซึ่ง อาจจะรวมไปถึง ยมฑูติ ผู้มาจาก นรก หรือ เทวฑูติ ผู้มาจากสวรรค์ ท่านก็จะอดไปเมืองบาดาล ไม่สมดั่งที่ตั้งใจไว้ ก่อนตาย เพราะ แรงดูด จาก ภพอื่น จะแรงกว่า ความอยากรู้อยากเห็น ที่ท่านมี และเมื่อ ท่านเป็นวิญญาณโดยสมบูรณ์ ท่านก็จะมีพลังรับรู้ ในเรื่อง มิติภพภูมิ ต่างๆโดยอัตโนมัติ เป็นอีกหนึ่งเหตุผล ที่ท่านไม่จำเป็นต้องไป เมืองบาดาล เพราะท่านเองก็รับรู้ได้
ฉะนั้น การตาย จึงไม่จัดเป็นวิธีที่จะไป นาคพิภพ ครับ
__________________
บางอย่างไม่จำเป็นต้องรู้และพิสูจน์ เพียงแค่ศรัทธาก็เพียงพอ
ที่มา..เว็บ
http://www.vcharkarn.com/vblog/89133/2

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากครับที่เล่าประสบการณ์น่าตื่นเต้นนี้ให้ฟังกันครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณ เช่นกัน ขอรับ

    ตอบลบ