มหานครศรีอยุธยา มีพระราชโองการโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ตั้งให้พระประทุม เป็นพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ ครองเมือง อุบลราชธานี ศรีวนาไลย ประเทศราช เศกให้ ณ วัน ๒ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๘ จุลศักราช ๑๑๕๔ ปีจัตวาศก…” ภายหลังเมื่อได้มีการสถาปนา เมืองอุบลราชธานีสรีวนาลัย แล้ว ได้มีการตั้งเมืองที่สำคัญต่าง ๆ ดังนี้ ๑. ตั้งเมืองเขมราฐในปี พ.ศ.๒๓๕๗ คือปีเดียวกับที่โปรดเกล้าฯ ตั้งเมืองยโสธรนั่นเอง อุปราชก่ำ อุปราชเมืองอุบลราชธานี ไม่พอใจที่จะทำ ราชการกับ พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวทิดพรหม) เจ้าเมืองอุบลราชธานีคนที่ ๒ (พ.ศ.๒๓๓๘-๒๓๘๘) จึงอพยพ ครอบครัว ไพร่พล ไปตั้งอยู่ที่ บ้านโคกกงพะเนียง พร้อมกับขอพระบรมราชานุญาตตั้งขึ้นเป็นเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านโคกกง พะเนียง เป็นเมือง “เขมราษฎร์ธานี” ขึ้นกรุงเทพฯ พร้องกันนั้นก็ โปรดเกล้าฯ ตั้งอุปราชก่ำ เป็นพระเทพวงศ์ศาเจ้าเมือง โดยกำหนดให้ ผูกส่วยน้ำรัก ๒ เลกต่อเบี้ย ป่าน ๒ ขอด่อ ๑๐ บาท เมือง “เขมราฐษร์ธานี” ปัจจุบัน คือ อำเภอ เขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ๒. ตั้งเมืองโขงเจียมตั้งขึ้นในปี พ.ศ.๒๓๕๔ ทั้งนี้เพราะขุนนักราชนาอินทร์ ผู้รักษาตำบลโขงเจียม มีความผิด เจ้าเมืองนคร จำปาศักดิ์ (โย่) จึงจับมาลงโทษ แล้วขอพระบรมราชานุญาต ตั้งท้าวมหาอินทร์ บุตรขุนนักอินทวงษ์เป็นพระกำแหงสงคราม ยกบ้านนาค่อขึ้นเป็นเมือง “โขงเจียม” ขึ้นตรงต่อเมืองนครจำปาศักดิ์ แต่พอถึง รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว คงด้วยเหตุผลทางการเมืองบางประการ จึงโปรด เกล้าฯ ให้เมืองโขงเจียมขึ้นตรงต่อ เมืองเขมราฐเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๑ ๓. เมืองเสนางคนิคมโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๘ ทั้งนี้เพราะพระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (ท้าวทิดพรหม) เจ้าเมือง อุบลราชธานีคนที่ ๒ ได้นำ พระศรีสุราช เมืองตะโปน ท้าวอุปราช เมืองชุมพร ท้าวฝ่าย เมืองผาปัง ท้าวมหาวงศ์ เมืองคาง พาครอบครัวไพร่พล อพยพมาจาก ฝั่งซ้าย แม่น้ำโขง มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร และตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านช่องนาง แขวงเมืองอุบลราชธานี เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่กรุงเทพฯ จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งบ้านช่องนางเป็นเมืองเสนางคนิคม ตั้งพระศรีสุราชเป็นพระศรีสินธุสงคราม เจ้าเมือง ให้ท้าวฝ่ายเมืองผาปัง เป็น อัครราช ท้าวมหาวงส์เมืองคาง เป็น อัครวงศ์รักษาเมืองเสนางคนิคม ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี แต่เมื่อตั้งเมืองจริงนั้น เจ้าเมืองกลับพา พรรคพวกไพร่พล ไปตั้งเมืองที่บ้านห้วยปลาแดก หาได้ตั้งที่บ้านช่องนางดังที่โปรดเกล้าฯ ไม่ ๔. ตั้งเมืองเดชอุดมในปีเดียวกับตั้งเมืองเสนางคนิคมนี้เอง หลวงธิเบศร์ หลวงมหาดไทย หลวงอภัย กรมการเมืองศรีสะเกษ ไม่พอใจที่จะทำราชการ กับพระยาวิเศษภักดีเจ้าเมืองศรีสะเกษ จึงอพยพครอบครัวไพร่พลไปตั้งอยู่บ้านน้ำโดมใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่พรมแดนระหว่าง เมืองนครจำปาศักดิ์ อุบลราชธานี ขุขันธ์ ศรีสะเกษ ติดต่อกัน มีไพร่พลทั้งหมด ๒,๑๕๐ คน และมีเลกฉกรรจ์ ๕๐๕ คน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเก้าฯ ให้ยกบ้านน้ำโดมใหญ่ขึ้นเป็นเมืองเดชอุดม เมื่อวันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ พ.ศ. ๒๓๘๘ (จ.ศ.๑๒๐๗) พร้อมกันนั้นก็โปรดเกล้าฯ ตั้งหลวงธิเบศร์เป็นพระศรีสุระ ให้หลวงมหาดไทยเป็นหลวงปลัด ให้หลวงอภัยเป็นหลวงยกระบัตร รักษาเมือง เดชอุดมขึ้นกับกรุงเทพฯ ๕. ตั้งเมืองคำเขื่อนแก้วตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๘ ทั้งนี้เพราะพระสีหนาท พระไชยเชษฐา นายครัวเมืองตะโปน ได้พาครอบครัว ไพร่พลมาตั้งอยู่ ที่บ้านคำเมืองแก้ว แขวงเมืองเขมราฐ พระเทพวงศา (บุญจันทร์) เมืองเขมราฐ จึงกราบบังคมทูลเพื่อขอตั้งเป็นเมือง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านเมืองแก้ว ขึ้นเป็นเมืองคำเขื่อนแก้ว ขึ้นกับเขมราฐ ๖. ตั้งเมืองบัว(ปัจจุบันคือ อำเภอบุณฑริก) ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๙๐ ทั้งนี้เพราะเจ้านครจำปาศักดิ์ (นาก) เห็นว่าการที่โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเมืองเดชอุดม ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๘ นั้น เป็นผลกระทบกระเทือนต่อเขตแดน เมืองนครจำปาศักดิ์มาก เพราะจะเป็นผลให้เขตแดน ทางทิศตะวันตก ลดน้อยถอยลง จึงนำเรื่องขึ้น กราบบังคมทูล ขอยกบ้านดงกระชู (หรือบ้านไร่) ขึ้นเป็นเมือง เพื่อกันเขตแดนเมืองเดชอุดมไว้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านดงกระชู ขึ้นเป็นเมืองบัว ขึ้นตรง ต่อเมืองนครจำปาศักดิ์ และให้ท้าวโสเป็นพระอภัยธิเบศร์วิเศษสงครามเจ้าเมือง ๗. ตั้งเมืองอำนาจเจริญตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๑ พระเทพวงศาเจ้าเมืองเขมราฐมีใบบอกกราบบังคมทูลขอตั้งบ้านค้อใหญ่ขึ้น เป็นเมือง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้าน ค้อใหญ่ขึ้นเป็นเมืองอำนาจเจริญ ขึ้นตรงต่อเมืองเขมราฐ ผูกส่วยเงินแทนผลเร่วปีละ ๑๒ ชั่ง ๑๘ ตำลึง ตั้งท้าวจันทบรม เป็นพระอมร อำนาจเจ้าเมือง ตั้งท้าวบุตตะเป็นอุปราช ท้าวสิงหราชเป็นราชวงศ์ ท้าวสุริโยเป็น ราชบุตร ๘. ตั้งเมืองพิบูลมังสาหารตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๕ พระพรหมราชวงศา (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลราชธานี คนที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๔๐๙) ได้มีใบบอก กราบเรียน เจ้าพระยากำแหงสงคราม เจ้าเมืองนครราชสีมา เพื่อนำความกราบบังคมทูลขอตั้งบ้านกว้างลำชะโด เป็นเมือง และขอตั้งท้าวจุมมณี เป็นเจ้าเมือง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านกว้างลำชะโด เป็นเมือง “พิบูลย์มังสาหาร” เมื่อวันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ และ โปรดเกล้าฯ ตั้งท้าวธรรมกิตติกา (จุมมณี) เป็นพระบำรุงราษฎร์เจ้าเมือง ให้ท้าวโพธิสารราช (เสือ) เป็นอุปราช ท้าวสีฐาน (สาง) เป็นราชวงศ์ ท้าวขัตติยะเป็นราชบุตร โดยกำหนดให้ ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี ๙. ตั้งเมืองตระการพืชผลใน พ.ศ.๒๔๐๕ พร้อมๆ กับการขอตั้งเมือง “พิบูลมังสาหาร” พระพรหมราชวงศา เจ้าเมืองอุบลราชธานี ก็ขอตั้ง บ้านสะพือ ขึ้นเป็นเมืองด้วย และขอให้ท้าวสุริยวงศ์ (อ้ม) เป็นเจ้าเมือง จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งบ้านสะพือขึ้น เป็นเมืองตระการพืชผล ให้ท้าวสุริยวงศ์ (อ้ม) เป็นพระอมร ดลใจเจ้าเมือง เมื่อวันอาทิตย์แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๒ โดยกำหนดให้ ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี ๑๐. ตั้งเมืองมหาชนะชัย พร้อมๆ กับขอตั้งเมืองพิบูลย์มังสาหาร และเมืองตระการพืชผลนั้นเอง ก็ได้ ขอตั้งบ้านเวินไชย ขึ้นเป็นเมืองด้วย ซึ่งก็ได้รับ พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นเป็นเมืองมหาชนะไชย ตั้งให้ท้าวคำพูนเป็นพระเรืองไชยชนะ เจ้าเมือง ท้าวโพธิราช (ผา) เป็นอุปราช ท้าววรกิตติกา (ไชย) เป็นราชวงศ์ ท้าวอุเทน (หอย) เป็นราชบุตร ขึ้นตรงต่อเมืองอุบลราชธานี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น