วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

ตำนาน, ประวัติเมืองอุบลราชธานี2

อุบลราชธานี ศรีวนาลัย ภายใต้ขอบขันธสีมากรุงธนบุรี การสูญเสีย เจ้าพระวอที่ค่ายบ้านดู่บ้านแกในสงครามครั้งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งของประวัติศาสตร์เวียงจันทน์ เมื่อเจ้าพระวอตายในสนามรบ เจ้าคำผง ผู้บุตร ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าหลวงแทน มีนามว่า “พระประทุมสุรราช” ท้าวคำผงเห็นว่า กำลังทหารมีน้อย ไม่สามารถต่อสู้กับข้าศึกได้ จึงสั่งปิดค่ายไว้ไม่ออกต่อสู้ เมื่อที่ประชุมญาติพี่น้องและนายทหารที่เหลืออยู่ในค่ายบ้านดู่บ้านแกแล้ว เห็นพร้อมกันว่า ไม่สามารถที่จะพึ่งนครจำปาศักดิ์ได้แล้ว จึงควรขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้ากรุงธนบุรี ขอเป็นเมืองขึ้นข้าขอบขันธเสมาของกรุงธนบุรี พระประทุมสุ รราช(คำผง) จึงให้นายทหาร คือ เพียพบบ่อหน เพียพลอาสา และทหารอีกสองคนเล็ดลอดหนีข้าศึกออกจากค่ายนำใบบอกลงไปเมืองนครราชสีมา ขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยาเมืองนครราชสีมาได้พานายทหารของเจ้าคำผงลงไปเฝ้าพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้ากรุง ธนบุรี จึงโปรดให้นายทหารผู้ใหญ่ คือ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และ เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกทัพไปช่วยท้าวคำผงที่บ้านดู่บ้านแก ที่นครจำปาศักดิ์ โดยให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกไปทางเมืองนครราชสีมาและเมืองขึ้นยก ไปช่วย และให้เจ้าพระสุรสีห์ยกไปทางเมืองเขมร ให้ต่อเรือล่องขึ้นไปตามลำแม่น้ำโขง ไปสมทบกันที่เมืองนครจำปาศักดิ์ ยกเข้าตีกองทัพเจ้าพญาสุโพ เมื่อพญาสุโพ ทราบว่าพระประทุมสุรราชไปขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้ากรุงธนบุรี และพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ยกกองทัพมาช่วย เกรงว่าศึกครั้งนี้เป็นศึกใหญ่ จะสู้ไม่ได้ จึงถอยทัพกลับไปเมืองเวียงจันทน์ เมื่อเจ้าพระยาทั้งสองมาถึงค่ายบ้านดู่บ้านแก พระประทุมสุรราชได้พาเอาครอบครัวไพร่พลออกไปถวายดอกไม้ธูปเทียนขอพึ่งพระบรม โพธิสมภาร และเจ้าพระยาทั้งสองให้พระประทุมสุรราชเกณฑ์เอากองกำลังจากบ้านดู่บ้านแก เป็นทัพหน้ายกตามตีกองทัพของพญาสุโพ สมเด็จเจ้า พระยามหากษัตริย์ศึกเป็นทัพหน้า เจ้าพระยาสุรสีห์เป็นทัพหนุน ยกขึ้นไปตามลำแม่น้ำโขง เมื่อกองทัพของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกไปถึงเมืองไหน เมืองเหล่านั้นก็ขออ่อนน้อมเป็นข้าขอบขันธเสมา และยกกำลังเข้าสมทบไปตีเวียงจันทน์ ดังปรากฏในพระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ ๑ ว่า “ครั้น เดือนอ้าย ปีจอ สำฤทธิศกราช ๑๑๔๐ สมเด็จพระเจ้ามหากษัตรศึกกับพระเจ้าสุรสีหพิศนุวาธิราช ยกทับกรุงออกไปหมื่นหนึ่ง ไปถึงเมืองบันทายเพชร แจ้งความแก่สมเด็จพระรามราชาว่า จะขึ้นไปตีเมืองลาว ตามลำน้ำโขงตลอดขึ้นไปถึงเวียงจันทน์ ขอให้พลมื่นหนึ่งกับเสบียงอาหารด้วย” กองทัพใหญ่ ได้ยกไปถึงเวียงจันทน์ ฝ่ายเวียงจันทน์ก็ยกกองทัพออกต่อสู้เป็นสามารถ ได้รบกันอยู่ถึง ๔ เดือน ในระยะเวลานั้น พระเจ้าสุริยวงศาแห่งเมืองนครหลวงพระบาง ได้ให้เสนาผู้ใหญ่ยกกำลังมาช่วยตีเวียงจันทน์ทางด้านเหนือเป็นทัพกระหนาบ ในที่สุดเวียงจันทน์แตก พระเจ้าสิริบุญสารพาครอบครัวโอรสธิดาหนีไปทางเมืองคำเกิดขอพึ่งญวน เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ได้ชัยชนะเข้าเมืองเวียงจันทน์ได้ ให้ควบคุมเอาตัวเจ้ามหาอุปราชนันทเสน และเชื้อพระวงศ์ลงไปกรุงธนบุรี ในการศึกครั้งนี้ เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ได้อัญเชิญเอาพระแก้วมรกตและพระบางลงไปกรุงธนบุรีด้วย ส่วนพระประ ทุมสุรราช (คำผง) นั้นให้กลับไปอยู่บ้านดู่บ้านแกตามเดิม แต่พระประทุมสุรราชขออนุญาตย้ายกลับคืนมาอยู่ที่ค่ายบ้านดอนมดแดง เพราะเกรงว่าเมื่อเจ้าพระยาทั้งสอง ยกทัพกลับไปกรุงธนบุรีแล้วอาจเกิดศึกขึ้นอีกได้ เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ อนุญาตตามนั้น พระปทุมสุรราช จึงได้อพยพกลับมาอยู่ที่ค่ายบ้านดอนมดแดงอีกครั้ง ครั้นลุปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๙ เกิดน้ำท่วมใหญ่ น้ำได้ท่วมค่ายบ้านดอนมดแดง พระประทุมสุรราชจึงได้อพยพไพร่พลหนีน้ำไปอยู่ในที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง ที่ใกล้ห้วยแจละแม เมื่อน้ำลดแล้วจึงได้หาที่ตั้งเมืองใหม่ เพียพลอาสา เพียพบบ่อหน และเมืองกลาง ได้พบดงใหญ่ ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำมูลเป็นที่ดอนสูงน้ำไม่ท่วม เห็นเป็นชัยภูมิดีเหมาะที่จะสร้างเมืองได้ จึงแจ้งให้พระปทุมสุรราช (คำผง) ทราบ และไปดูที่จะสร้างเมือง ในปี พ.ศ. ๒๓๒๐ พระปทุมสุรราช จึงได้อพยพไพร่พลมาสร้างบ้านสร้างเมืองที่ดงอู่ผึ้ง สร้างเมืองอยู่ ๒ ปี จึงแล้วเสร็จ ให้มีใบบอกลงไปกราบทูลพระเจ้ากรุงธนบุรีให้ทรงทราบว่าได้ย้ายสถานที่ตั้ง เมืองใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น