อุบลราชธานี ศรีวนาไลย ประเทศราช เมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๐ อุบลราชธานี ศรีวนาไลย ประเทศราช มีประวัติการสถาปนาเมืองเกี่ยวเนื่องกับนครเชียงรุ้ง แสนหวีฟ้า โดยเจ้าปางคำ พระบิดาของพระเจ้าตา พระเจ้าวอ เป็นเชื้อสายเจ้าผู้ครองนครเชียงรุ้ง ในปี พ.ศ. ๒๒๒๘ เกิดวิกฤตสงคราม ในนครเชียงรุ้ง เนื่องจากจีนฮ่อ ยกกำลังเข้าตีนครเชียงรุ้ง เจ้าผู้ครองนครเชียงรุ้ง ได้แก่ เจ้าอินทกุมาร เจ้านางจันทกุมารี เจ้าปางคำ เห็นว่าไม่สามารถต้านทานศึกครั้งนี้ได้จึงอพยพไพร่พล จากนครเชียงรุ้ง มาขอพึ่งพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช แห่งนครเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นพระประยูรญาติ ทางฝ่ายพระมารดา พระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี โปรดให้นำไพร่พลไปตั้งที่เมืองหนองบัวลุ่มภู และให้อยู่ในฐานะนครพิเศษ ไม่ต้องส่งส่วย บรรณาการ และมีสิทธิสะสมไพร่พลอย่างเสรี เป็นอิสระไม่ขึ้นกับเวียงจันทน์ มีชื่อว่า “นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน” ต่อมา ได้เกิดความสัมพันธ์กันขึ้นระหว่างราชวงศ์เชียงรุ้งกับราชวงศ์เวียงจันทน์ โดยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช ให้เจ้าอินทกุมาร เสกสมรส กับพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง ได้โอรส คือ เจ้าคำ หรือเจ้าองค์นก ให้เจ้า นางจันทกุมารี เสกสมรสกับพระอุปยุวราช ได้โอรส คือ เจ้ากิงกีศราช และ เจ้าอินทโสม สืบเชื้อสายต่อมาเป็นบรรพบุรุษของเจ้านายหลวงพระบาง ส่วนเจ้าปางคำ ให้เสกสมรสกับพระราชนัดดา ได้โอรส คือ เจ้าพระตา เจ้าพระวอ ต่อมาพระเจ้าตา นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าพระวอพระตาทั้งสองได้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรุง ศรีสัตนาคนหุต ตั้งแต่สมัยพระไชยเชษฐาธิราชที่ ๒ พระอัยกาของพระเจ้าสิริบุญสาร เมื่อราวปีพุทธศักราช ๒๓๑๔ พระเจ้าสิริบุญสาร ได้เป็นเจ้าแผ่นดินครองเวียงจันทน์ เกิดความบาดหมางกันกับพระวอพระตา ผู้เป็นเสนาบดีกรุงศรีสัตนาคนหุต พระวอพระตาจึงหนีออกมาอยู่นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบานเช่นเดิม ต่อมา พระเจ้าสิริบุญสาร เห็นนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบานขยายใหญ่โตสะสมกำลังทหารมาก เกิดระแวงเกรงว่า ต่อไปภายหน้า นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบานจะเป็นปัญหาต่อเวียงจันทน์ พระเจ้าสิริบุญสาร จึงหาข้ออ้างโดยวิธีขอธิดาของพระเจ้าตาไปเป็นสนม ซึ่งเหมือนตัวประกันกลายๆ แต่เจ้าพระตาและพระเจ้าวอไม่ยอม พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนก็ไม่เคยมีการขอธิดาไปเป็นนางห้าม พระเจ้าสิริบุญสารจึงยกเป็นข้ออ้างว่าเจ้าพระตา เจ้าพระวอ คิดการเป็นใหญ่ และได้ให้กองทัพยกมาตีนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน เจ้าพระตา เจ้าพระวอ ยกกองทัพออกต่อสู้เป็นสามารถ จนกองทัพเวียงจันทน์ต้องแตกพ่ายกลับไปหลายครา การสงครามระหว่างนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบานกับเวียงจันทน์สู้รบกันกินเวลา ถึง ๓ ปีไม่แพ้ไม่ชนะกัน เจ้าพระตาเจ้าพระวอ ต้องการจะชนะศึกให้เด็ดขาด จึงคิดจะส่งทหารไปให้พม่ามาช่วยรบ พระเจ้าสิริบุญสาร แห่งเวียงจันทน์รู้แผน จึงแอบส่งทูตไปขอกองทัพพม่าที่เมืองเชียงใหม่ตัดหน้าก่อน เจ้าพม่าที่ครองเมืองเชียงใหม่จึงให้หม่องระแง เป็นแม่ทัพนำทหารมาช่วยเจ้าสิริบุญสาร ตีนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน ฝ่ายเจ้าพระวอ เจ้าพระตา ทราบข่าวศึกใหญ่ เห็นเหลือกำลังที่จะสู้ข้าศึกได้ จึงให้เจ้าคำโส เจ้าคำขุย เจ้าก่ำ เจ้ามุม เจ้าคำสิงห์ นำไพร่พล คนแก่ชรา ผู้หญิง และเด็ก พร้อมพระสงฆ์องค์เจ้าอพยพลงไปทางทิศตะวันออกเฉียงให้หาที่สร้างค่าย สร้างเมืองทำไร่นาสะสมเสบียงไว้คอย หากแพ้สงคราม เสียเมืองให้แก่ข้าศึก แล้วจะตามไปสมทบ เจ้าบุตรทั้งหลายจึงนำไพร่พลอพยพไปตามที่เจ้าพระตาสั่ง ได้มาตั้งบ้านสิงห์โคก บ้านสิงห์ท่าสะสมเสบียงไว้คอยกองทัพเจ้าพระตา ปัจจุบัน คือ จังหวัดยโสธร เมื่อกองทัพพม่าข้าศึกและกองทัพเวียงจันทน์ยกมาถึงก็เข้าตีเมืองหนองบัวลุ่ม ภู ได้รบกันอยู่หลายเวลาผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ในที่สุดเจ้าพระตาออกรบถูกข้าศึกฟันถึงแก่อสัญกรรม เมื่อเจ้าพระตาถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เจ้าพระวอผู้น้องชายได้เป็นผู้นำกองทัพแทน เห็นว่าจะสู้ต่อไปไม่ได้จึงหลบหนีออกจากเมืองในเวลากลางคืน โดยมีเจ้าผ้าขาว หลวงราชโภชนัย ท้าวนาม ท้าวเชียง ท้าวสูน ท้าวชม เจ้าฝ่ายหน้า เป็นนายทหารติดตามพร้อมไพร่พลหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตามที่กองครัวยก ล่วงหน้าไปก่อนแล้วนั้น เมื่อมาถึงบ้านพันนา เจ้าผ้าขาวขอแยกหยุดอยู่และต่อมาย้ายมาอยู่บ้านส้มโฮง ภายหลังตั้งเป็นเมืองกาฬสินธุ์ ส่วนเจ้าพระวอ เจ้าคำผง เจ้าทิตพรหม เจ้าฝ่ายหน้า หลวงราชโภชนัย ท้าวนาม ท้าวสูน ท้าวเชียง ท้าวชม เดินทางต่อไป เมื่อเจ้าพระวอกับพวกหนีข้าศึกมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ครั้นถึงบ้านเสียวน้อยเสียวใหญ่ บริเวณจังหวัดร้อยเอ็ด บ่อพันขัน จึงได้หยุดพักสำรวจไพร่พลที่ตามมาเห็นมีจำนวนมาก และจึงปรึกษากันว่า ถ้าอยู่รวมกันเป็นกระจุกเดียวแล้ว หากข้าศึกยกทัพมาตีเมื่อสู้เขาไม่ได้ก็จะตายหมด ควรที่จะแยกย้ายกันไปตั้งบ้านเมืองอยู่เป็นกลุ่มๆ หากเกิดศึกก็ให้รีบไปช่วยกัน เมื่อตกลงกันแล้ว จึงแยกกันออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ เจ้าพระวอเป็นหัวหน้าพร้อมเจ้าคำผง ผู้บุตร เจ้าทิตพรหม เจ้าฝ่ายหน้า ถือพลหนึ่งหมื่นยกไปอาศัยอยู่บ้านสิงห์ท่า ซึ่งเจ้าคำโสผู้น้องมาสร้างไว้แล้ว แต่เจ้าพระวอเห็นว่ามีคนมากอยู่แล้วจึงอพยพไปอยู่ ดอนมดแดง ภายหลังเมืองเป็นเมืองอุบลราชธานี กลุ่มที่ ๒ หลวงราชโภนัย ถือพลหนึ่งหมื่นไปตั้งอยู่บ้านดวนใหญ่ภายหลังตั้งเป็น เมืองคูขันธ์มีท้าวนามเป็นผู้ช่วย ต่อมาท้าวนามแยกตัวไปตั้งบ้านเจียงอีเป็นเมืองศีรสะเกษ กลุ่มที่ ๓ ท้าวสูน ท้าวเชียม ท้าวชม แยกตัวไปตั้งอยู่บ้านท่ง ดงข้าวสาร ภายหลังเป็น เมืองสุวรรณภูมิ อันเป็นต้นวงศ์ของเมืองร้อยเอ็ด เมืองชลบถ เมืองขอนแก่น เมืองมหาสารคาม และเมืองภูเวียง เมื่อพระวอยกพลมาอยู่บ้านดอนมดแดงนั้น ได้ขอพึ่งพระเจ้าไชยกุมาร เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ เจ้านครจำปาศักดิ์อนุญาตให้อยู่ได้ และเจ้าพระวอตั้งเป็นอิสระอยู่ค่ายบ้านดอนมดแดง สะสมกำลังทหารและเสบียงกรังจนค่ายเข็มแข็ง ต่อมา ทางนครจำปาศักดิ์ เห็นว่าค่ายบ้านดอนมดแดงของเจ้าพระวอมีกำลังเข้มแข็งขึ้น เกรงจะเกิดปัญหา และต้องการใ
ห้อยู่ในสายตา จึงคิดอุบายตัดกำลังเพื่อจะควบคุมได้ง่าย เจ้าไชยกุมารองค์หลวงจึงออกอุบายทะเลาะกับเจ้าธรรมเทโว ผู้น้อง เจ้าไชยกุมารได้หนีจากนครจำปาศักดิ์มาอยู่ค่ายดอนมดแดงกับเจ้าพระวอ เจ้าพระวอมีใจซื่อได้ให้การต้อนรับเป็นอันดี ภายหลังเจ้าธรรมเทโวได้คิดจึงให้อัญเชิญเจ้าไชยกุมารองค์หลวงกลับไปครองนคร จำปาศักดิ์ตามเดิม เมื่อเจ้าไชยกุมารองค์หลวงได้ครองนครจำปาศักดิ์แล้ว จึงได้ขอให้เจ้าพระวอไปอยู่ที่นครจำปาศักดิ์ด้วย แต่เจ้าพระวอไม่ไป จะขออยู่ที่ค่ายบ้านดอนมดแดงเช่นเดิม เจ้าไชยกุมารองค์หลวงจึงเสนอว่าถ้าไม่ไปอยู่นครจำปาศักดิ์ก็ขอให้ไปอยู่ที่ ค่ายบ้านดู่บ้านแก ซึ่งอยู่ใกล้นครจำปาศักดิ์ เพื่อจะได้พึ่งพากันในเวลาคับขัน เจ้าพระวอจึงยินยอมไปอยู่ที่ค่ายบ้านดู่บ้านแก ส่วนค่ายบ้านดอนมดแดงนั้น ให้แสนเทพและแสนนามคุมไพร่พลอยู่รักษาค่ายแทน เมื่อเจ้าพระวอย้ายมาอยู่ที่บ้านดู่บ้านแกได้ไม่นานนัก เจ้าบางองค์ในเมืองนครจำปาศักดิ์จึงแอบส่งข่าวไปให้พระเจ้าสิริบุญสารแห่ง เวียงจันทน์ ทราบว่า เจ้าพระวอกับพวกได้แยกย้ายกันอยู่แล้ว ทำให้กำลังทหารถูกแบ่งแยกกันออก ไม่แข็งแกร่งเหมือนก่อน โดยพระวอได้มาอยู่ค่ายบ้านดู่บ้านแก กำลังอีกส่วนหนึ่งรักษาค่ายอยู่มดบ้านดอนแดง ครั้นเจ้าสิริบุญสารทราบเช่นนั้น เห็นเป็นโอกาสที่จะกำกัดพระวอ จึงให้อัคราชหำทอง และพญาสุโพ เป็นแม่ทัพยกกองทัพลงมาตีค่ายบ้านดู่บ้านแกของเจ้าพระวอ เจ้าพระวอนำกำลังออกต่อสู้เป็นสามารถ แต่เนื่องจากกำลังน้อย จึงไม่สามารถต้านทางกองทัพจากเวียงจันทน์ได้ ในที่สุดเจ้าพระวอถูกข้าศึกฆ่าตายในสนามรบ ทหารเสือของเจ้าพระวอกันเอาศพเข้าค่ายได้
ห้อยู่ในสายตา จึงคิดอุบายตัดกำลังเพื่อจะควบคุมได้ง่าย เจ้าไชยกุมารองค์หลวงจึงออกอุบายทะเลาะกับเจ้าธรรมเทโว ผู้น้อง เจ้าไชยกุมารได้หนีจากนครจำปาศักดิ์มาอยู่ค่ายดอนมดแดงกับเจ้าพระวอ เจ้าพระวอมีใจซื่อได้ให้การต้อนรับเป็นอันดี ภายหลังเจ้าธรรมเทโวได้คิดจึงให้อัญเชิญเจ้าไชยกุมารองค์หลวงกลับไปครองนคร จำปาศักดิ์ตามเดิม เมื่อเจ้าไชยกุมารองค์หลวงได้ครองนครจำปาศักดิ์แล้ว จึงได้ขอให้เจ้าพระวอไปอยู่ที่นครจำปาศักดิ์ด้วย แต่เจ้าพระวอไม่ไป จะขออยู่ที่ค่ายบ้านดอนมดแดงเช่นเดิม เจ้าไชยกุมารองค์หลวงจึงเสนอว่าถ้าไม่ไปอยู่นครจำปาศักดิ์ก็ขอให้ไปอยู่ที่ ค่ายบ้านดู่บ้านแก ซึ่งอยู่ใกล้นครจำปาศักดิ์ เพื่อจะได้พึ่งพากันในเวลาคับขัน เจ้าพระวอจึงยินยอมไปอยู่ที่ค่ายบ้านดู่บ้านแก ส่วนค่ายบ้านดอนมดแดงนั้น ให้แสนเทพและแสนนามคุมไพร่พลอยู่รักษาค่ายแทน เมื่อเจ้าพระวอย้ายมาอยู่ที่บ้านดู่บ้านแกได้ไม่นานนัก เจ้าบางองค์ในเมืองนครจำปาศักดิ์จึงแอบส่งข่าวไปให้พระเจ้าสิริบุญสารแห่ง เวียงจันทน์ ทราบว่า เจ้าพระวอกับพวกได้แยกย้ายกันอยู่แล้ว ทำให้กำลังทหารถูกแบ่งแยกกันออก ไม่แข็งแกร่งเหมือนก่อน โดยพระวอได้มาอยู่ค่ายบ้านดู่บ้านแก กำลังอีกส่วนหนึ่งรักษาค่ายอยู่มดบ้านดอนแดง ครั้นเจ้าสิริบุญสารทราบเช่นนั้น เห็นเป็นโอกาสที่จะกำกัดพระวอ จึงให้อัคราชหำทอง และพญาสุโพ เป็นแม่ทัพยกกองทัพลงมาตีค่ายบ้านดู่บ้านแกของเจ้าพระวอ เจ้าพระวอนำกำลังออกต่อสู้เป็นสามารถ แต่เนื่องจากกำลังน้อย จึงไม่สามารถต้านทางกองทัพจากเวียงจันทน์ได้ ในที่สุดเจ้าพระวอถูกข้าศึกฆ่าตายในสนามรบ ทหารเสือของเจ้าพระวอกันเอาศพเข้าค่ายได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น