วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

(เบาหวาน)


เพราะเบาหวานเป็นอาการที่เกี่ยวกับความแปรปรวนของร่างกายในแง่ของการจัดการความหวานให้อยู่ในระเบียบกฏเกณฑ์อันดี

เมื่อไรที่มีอายุมากขึ้น

ครอบครัวมีประวัติเบาหวาน

มีอาการหน้ามืดใจสั่นหวิวคล้ายคนอดอาหาร

เหล่านี้เป็นเพียงอาการ “โหมโรง” ก่อนจะเกิดเบาหวานแผลงฤทธิ์ครับ โดยระดับของการแผลงฤทธิ์ขึ้นอยู่กับพิษน้ำตาลในเลือดว่าตอนนี้หวานฉ่ำขึ้นสักเพียงใด หลายรายคุมไม่ดีรวยน้ำตาลมากไปนับร้อยก็ง่อยได้ เอาง่ายๆแค่น้ำตาลในเลือดเกิน 300 ก็ “ช็อค”ได้แล้ว

ไม่แคล้วนอนยิ้มเป็นกล้วยเชื่อม

เบาหวานน้อยๆต้องคอยดู

แววหวานที่มากกว่า “มด”!

ส่วนของร่างกายที่ถูกเบาหวานทำลายแบ่งได้เป็น 3 จุดหลักคือ กล้ามเนื้อ,หลอดเลือดและสมอง โดยส่วนสำคัญอันดับต้นคือสมองซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่คุมร่างกายทั้งหมดครับ

น้ำตาลมากไปก็ทำลายสมองได้ เปรียบได้กับสมองที่แช่อิ่มอยู่ในเลือดหวานๆ

แต่ในคนเป็นเบาหวานจะมีอีกแง่หนึ่งด้วยนั่นคือ “น้ำตาลต่ำ” ครับ

ถ้าต่ำมากสมองจะออกมาอาการก่อนเลย เรียก “สมองหิวน้ำตาล(Neuroglycopenia)” ดังที่ท่านเห็นคนไข้เบาหวานหน้ามืด เหงื่อแตก เป็นลมล้มลง นี่ส่วนหนึ่งเกิดจากผลของน้ำตาลต่อสมองครับ

ซึ่งกับคนไข้เบาหวานขั้นอนุบาลนั้นจะไปดูกันที่อาการขั้นวิกฤตอย่างนั้นไม่ได้เสมอไปครับ ให้ลองดูที่อาการนำซึ่งช่วยเตือนได้ดังต่อไปนี้

1) น้ำหนักตัวลด อดคิดถึงเบาหวานไม่ได้นะครับ เพราะคนป่วยเบาหวานที่อาการไม่ดีจะ “ตัวลีบ” น้ำหนักลดในช่วงแรกก่อน หาใช่คนอ้วนเจ้าเนื้ออย่างที่เคยคิดกันเสมอไปนะครับ

2) หงุดหงิดง่าย อาการไม่ค่อยสบายจากกระแสน้ำตาลในเลือดขึ้นลงจนเกินงามทำให้เกิดอาการหงุดหงิดยาม “น้ำตาลต่ำ” เพราะร่างกายจะสร้างอินสุลินขึ้นมามากในผู้ที่ป่วยเบาหวานนานๆ ในบางท่านที่ทานยาลดน้ำตาลมากๆอยู่ด้วย อาจยิ่งทำให้ออกอาการหงุดหงิดได้บ่อยครับ

3) ตามัวบางเวลา น้ำตาลส่งผลถึง “ตา” ด้วยครับ โดยทำให้กระจกตามีการบวมน้ำขึ้นมาได้บางช่วงจึงทำให้การมองเห็นผิดปกติไป คนไข้เบาหวานช่วงแรกไม่จำเป็้นต้องมีเบาหวานขึ้นตาเสมอไปนะครับ แต่อาการตามัวนี่สามารถเกิดได้ตั้งแต่แรกเริ่มเลยครับ

4) หน้าตาไม่สดชื่น ข้อนี้สังเกตได้ง่ายจากอาการเหนื่อยล้า กล้ามเนื้อค่อยฝ่อลีบไป ถ้าไม่รีบคุมน้ำตาลให้ดี ท่านที่ป่วยด้วยเบาหวานนานๆมีสิทธิ์กล้ามเนื้อเสื่อมและเส้นประสาทเสื่อมทำให้ผิวพรรณไม่บรรเจิดเท่าที่ควรได้ครับ

5) กลางคืนลุกบ่อย กิจกรรมที่น่าห่วงคือ “ปัสสาวะ” ครับคนปกติลุกมาฉี่กลางดึกอย่างเก่ง 3 รอบ แต่คนเริ่มเป็นเบาหวานจะฉี่บ่อยกว่านั้น เหตุเพราะกระหายน้ำบ่อยดื่มน้ำมากด้วย การที่มีน้ำตาลในเลือดมากทำให้เกิดความผิดปกติของน้ำที่เข้าและออกจากร่างกายครับ

6) ปล่อยติดเชื้อง่าย การเป็นแผลหายยากโดยเฉพาะตาม “ส่วนปลาย” เช่นปลายนิ้วมือ,นิ้วเท้า,ใบหู,รูจมูก มีติดเชื้อราที่ปลายลิ้น อย่างนี้เป็นสัญญาณของเบาหวานได้ครับเพราะมันไปกดภูมิคุ้มกันให้ต่ำลง ความหวานเปรียบได้กับป้ายมิดไนท์เซลล์ที่ดึงดูดแบคทีเรียให้ลงมากินโต๊ะกระหน่ำ ทำให้แม้เป็นแผลเล็กๆก็หายยากเย็นได้ครับ

7) กลายเป็นนักเกา ผิวหนังผู้ป่วยเบาหวานบางรายมีความผิดปกติไป มีผิวอักเสบง่าย บางและแห้งได้ด้วยจากฤทธิ์ “ธาตุแก่” ที่ชื่ออินสุลิน สังเกตได้จากผู้ป่วยเบาหวานนานๆจะเกิดอาการดูทรุดโทรมกว่าวัยได้ ไม่ต้องตกใจไปครับ แก้ได้ง่ายโดยคุมน้ำตาลให้ดีแล้วรีบตรวจเรื่องภาวะแทรกซ้อนเบาหวานไว้ครับ
 คอยเฝ้าดูขา ขาและเท้าเป็นส่วนสำคัญที่ทำเจ็บกับมามากแล้วครับ กับคนที่เป็นเบาหวานไม่รู้ตัวเมื่อบาดแผลหายยากโดยเฉพาะตาม “นิ้วเท้า” ที่เป็นส่วนเสี่ยง เมื่อเป็นนานเข้าจะกลายเป็น “เนื้อตาย(Necrosis)” เป็นแผลที่ไม่หายต้องตัดอย่างเดียวเพื่อรักษาขาส่วนอื่นไว้ ขอให้สังเกตเท้าและใส่ใจเปลี่ยนรองเท้าให้บ่อยไว้ครับ

9) หารอยแถบดำ ตามตัวผู้ที่มีความเสี่ยงเบาหวานตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่อาจมี “แถบดำ(Acanthosis nigricans)” ที่เป็นโหงวเฮ้งเบาหวานเกิดได้ก่อน รอยนี้ชอบอยู่ที่หลังคอ,รักแร้และตามข้อนิ้วมือหรือหลังมือ จะเห็นเป็นรอยปื้นดำครับ ถ้าเห็นแล้วให้รู้ว่าไม่ใช่ขี้ไคลเสมอไปแต่เป็น “แววเบาหวาน” ที่เริ่มมาได้ครับ

ทั้งเก้าประการนี้เป็นสัญญาณเบาหวานที่เกิดได้แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวครับ ท่านที่มีความเสี่ยงต่อไปนี้ขอให้คอยจับตาสัญญาณทั้งเก้าไว้หน่อยครับ โดยความเสี่ยงที่น่ารู้คือ

- มีมรดกเบาหวานในครอบครัว

- เข้าวัยทองไปจนถึงวัยแพลตตินั่ม

- มีโรคประจำตัว อาทิ ความดันสูง,ไขมันพุ่ง ฯลฯ

- ใช้ยาบางชนิดโดยเฉพาะ สตีรอยด์(ใช้มากในผู้ป่วยภูมิแพ้และแพ้ภูมิตัวเอง)

เหล่านี้มีสิทธิ์เรียกเบาหวานให้มาประจำตามองคาพยพของร่างกายทั้งสิ้น ถ้าน้ำตาลไปที่ 2 จุดยุทธศาสตร์ก็อาจนอนอมยิ้มเป็นกล้วยไข่เชื่อมไม่รู้ตัว หรือแค่ตรวจร่างกายพบน้ำตาลในเลือด “ปกติ” ก็หาใช่ว่าจะได้ยันต์กันน้ำตาลอย่างถาวรนิรันดร์กาลนะครับ

สำหรับท่านที่มีนัดตรวจสุขภาพอยู่ทุกบ่อยขอให้ตรวจสิ่งที่ “มักมองข้าม” ไปด้วยครับ ในฉบับก่อนๆได้เคยเขียนไว้หลายตัวแล้วที่ตรวจจากเลือดได้ ไหนๆเจ็บทีหนึ่งแล้วก็ควรใช้เลือดให้คุ้มดีกว่าปล่อยให้เขาเอาเลือดที่เหลือทิ้งเปล่า เอาสารอาหารที่เราอุตส่าห์กินสร้างเลือดหลุดออกไปด้วย

เสียดายแทนครับ

ช่วยบอกให้เขาตรวจ “น้ำตาลสะสมในเลือด(HbA1C)” , “โปรตีนไมโครอัลบูมินในปัสสาวะ(Microalbuminuria)” และตรวจตากับไต ในส่วนที่เบาหวานอาจมาระรานให้ด้วย จะช่วยบอกความเสี่ยงที่เบาหวานจะขึ้นสมองได้เยอะครับ เพราะถ้าค่าน้ำตาลสะสม(HbA1C)สูงส่งก็แสดงว่าตบะเดชะเริ่มแก่กล้าแล้ว ไม่แคล้วเบาหวานแทรกขึ้นไปในอนาคตกาลอันใกล้แน่

ให้แก้ที่ “ตัวเรา” ก่อนนะครับทั้งเรื่องการกินอยู่แล้วจะช่วยชะลอมันได้ ไม่เช่นนั้นยาที่กินก็เหนื่อยเปล่า สู้อุตส่าห์บริโภคเป็นกำมือทุกวัน

ถ้าให้อยู่เป็นนิรันดร์แล้วต้องบริโภคยาเป็นอนันต์ก็คงไม่ไหวเหมือนกันครับ

น.พ.กฤษดา ศิรามพุช
http://www.bangkokvoice.com/2012/08/20/bv-health-3/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น